tag:blogger.com,1999:blog-59503812686980050962024-02-08T06:40:53.649-08:00นิวรณ์และกัมมัฏฐานสำหรับแก้"สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ" แปลว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังสมาธิให้เกิด(เพราะ)ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง"
นิวรณ์ หมายถึง ธรรมเป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้ถึงจิต มี ๕ ประการดังนี้ กามฉันท์๑ พยาบาท๑ ถีนมิทธะ๑ อุทธัจจกุกกุจจะ๑ วิจิกิจฉา๑Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-5950381268698005096.post-2559047310622086712010-11-01T05:16:00.000-07:002010-11-01T05:17:26.299-07:00มหาสติปัฏฐานสูตรมหาสติปัฏฐาน หมายถึง ธรรมเป็นอารมณ์ของสติ , ขัอปฏิบัติอันมีสติเป็นประธาน ได้แก่ การตั้งสติสัมปชัญญะ เพียรพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม เพื่อกำจัดอภิชฌาและโสมนัสในโลกให้ได้<br /> มหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ภิกษุในสมัยที่ประทับอยู่ ณ กัมมาสธัมมะ รัฐกุรุ มีใจความย่อว่า “ภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นหนทางเดียว (คือ ๑. เป็นทางที่บุคคลผู้ละการเกี่ยวข้องกับหมู่คณะไปประพฤติธรรมอยู่แต่ผู้เดียว ๒. เป็นทางสายเดียวที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น ๓. เป็นทางปฏิบัติในศาสนาเดียวคือศาสนาพุทธ ๔. เป็นทางดำเนินไปสู่จุดหมายเดียวคือพระนิพาน) เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อความดับทุกข์และโสมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม(อริยมรรค) เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ ประการ คือ เป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะในกิจ ๔ ประการ คือ<br /> ๑. พิจารณาเห็นกายในกาย<br /> ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา<br /> ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิต<br /> ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรม<br /> กำจัดอภิชาและโทมนัส สติปัฏฐาน ๔ นี้เรียกอีกอย่างว่า เอกายนมรรค<br /> การเจริญเอกายนมรรคเพื่อผล ๕ ประการ คือ<br /> ๑. เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์<br /> ๒. เพื่อพ้นจากความเศร้าโศก และความร่ำไรรำพัน<br /> ๓. เพื่อดับทุกข์ และโทมนัส<br /> ๔. เพื่อบรรลุธรรมเครื่องพ้น คือ อริยมรรค<br /> ๕. เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง<br /> ผู้เจริญสติปัฏฐานต้องมีคุณธรรม ๓ อย่าง คือ<br /> ๑. อาตาปี มีความเพียรเครื่องเผากิเลส<br /> ๒. สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ<br /> ๓. สติมา มีสติ<br /> เมื่อถึงพร้อมด้วยธรรม ๓ อย่างนี้เจริญสติปัฏฐาน ย่อมกำจัดอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดีและความยินร้าย) ในโลกได้<br /><br />(หนังสือบูรณาการแผนใหม่ นักธรรมชั้นเอก รวมทุกวิชา.กรุงเทพฯ:เลี่ยงเชียง,๒๕๔๗.)<br /><br />นิวรณ์<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5950381268698005096.post-83971258241432552342010-05-14T01:12:00.000-07:002010-05-14T01:45:49.153-07:00จิตที่ไม่มีสมาธิจิตที่ไม่มีสมาธิ ก็เพราะมีนิวรณ์ทำให้ไม่ได้ความสงบไม่ใช้ปัญญา จึงจะแสดงนิวรณ์ ๕ และกัมมัฏฐานสำหรับแก้เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้<br />๑. ความพอใจใฝ่ถึงด้วยอำนาจกิเลสกาม เรียกว่า กามฉันทะ แก้ด้วยเจริญอสุภกัมมัฏฐานพิจารณาซากศพ หรือเจริญกายคตาสติ พิจารณาร่างกายอันยังเป็นของน่าเกลียด<br />๒. ความงุ่นง่านด้วยกำลังโทสะ เรียกรวมว่า พยาบาท แก้ด้วยเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หัดจิตในทางหัดคิดให้เกิดเมตตา สงสาร กรุณา ช่วยเหลือเมื่อมีความสามารถ เกิดความพลอยยินดี ไม่ริษยา เกิดความปล่อยวางหยุดใจที่คิดโกรธได้<br />๓. ความท้อแท้ หรือคร้าน และความหดหู่ง่วงงุน เรียกว่า ถีนมิทธะ แก้ด้วยเจริญอนุสสติกัมมัฏฐานพิจารณาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บ้าง พิจารณาความดีของตนบ้าง เพื่อให้จิตเบิกบาน และมีแก่ใจหวนอุตสาหะ หรือทำอาโลกสัญญา กำหนดหมายแสงสว่าง ให้จิตสว่าง<br />๔. ความฟุ้งซ่าน หรือคิดพล่าน และความจืดจางเร็ว หรือความรำคราญ เรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ แก้ด้วยเพ่งกสิณ กำหนดลมหายใจเข้าออก หัดผูกใจไว้ในอารมณ์เดียว หรือเจริญมรณสติ อันจะทำให้ใจสงบด้วยสังเวช<br />๕. ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียกว่า วิจิกิจฉา แก้ด้วยเจริญธาตุกัมมัฏฐาน หรือวิปัสสนากัมมัฏฐานเพื่อกำหนดรู้สภาวธรรมที่เป็นอยู่ตามเป็นจริง<br />อีกอย่างหนึ่ง ทำความกำหนดรู้จิตที่มีนิวรณ์ และนิวรณ์ที่มีในจิตกับโทษ เมื่อเกิดปัญญาความรู้จักนิวรณ์ และโทษของนิวรณ์ขึ้น นิวรณ์ก็จะสงบหายไป<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0